>เรื่องเล่ารถรางสายรอบเมือง

          รถรางสายรอบเมือง (อาจจะคล้าย ๆ  กับรถเมล์สาย 53 ในปัจจุบัน) เริ่มต้นที่บางลำพูตรงหน้าห้าง “นพรัตน์” หรือตลาดทุเรียน ซึ่งมีโรงยี่เกวิกหมื่นสุข คณะนายชิน   แขนด้วน  คณะนายเพ็ญ  ปัญญาพล  คณะนายหอมหวน  อีกฟากหนึ่งเป็นโรงหนัง “ปีนัง” ภายหลังต่อมาเปลี่ยนเป็นโรงหนัง “ศรีบางลำพู”  ทั้งสองนี่หันหน้าเข้าหากัน  ปัจจุบันทั้งสองโรงนี่เลิกราไปตามแล้วตามกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป
ป้อมพระสุเมรุในอดีต
          รถรางจะเริ่มที่ตลาดทุเรียนแล่นวนไปทางซ้ายมือ ขั้นแรกก็จะผ่านสี่แยกบางลำพูตรงเชิงสะพานนรรัตน์สถาน  สมัยเมื่อยังมีโครงเหล็กและพื้นเป็นไม้กระดาน (เพิ่งมารื้อโครงเหล็กไปเมื่อ พ.ศ. 2486) วิ่งไปขนานกับคลองโอ่งอ่างหรือคลองบางลำพู ผ่านโรงงานเมรัยผ่านตรอกไก่แจ้ ผ่านโรงพิมพ์คุรุสภา (ปัจจุบันเลิกแล้ว) เดิมทีที่ตรงข้าง ๆ  เคยเป็นโรงละคร “ฉัณนสำเริง”  ละครร้องคณะแม่บุนนาค  แม่ประสาน และมีนายทิ้ง  มาฬมงคล  เป็นตัวตลกตามพระ
          รถรางวิงมาเลี้ยวโค้งตรง “ป้อมพระสุเมรุ” หัวมุมกำแพงด้านตะวันตกข้างเหนือใต้ปากคลองบางลำพู วิ่งเลาะกำแพงเมืองไปเรื่อย ๆ  เมื่อเสาฟ้าที่มีธงแดงเป็นสัญลักษณ์ก็จอดรับส่งผู้โดยสาร เสร็จแล้วก็วิ่งต่อไปจนถึงสะพานข้ามคลองหลอด ตรงนี้บางท่านก็เรียกว่า “คลองโรงไหม”  เพราะว่าเมื่อก่อนมีโรงไหม (บริเวณนี้ก็มีตรอกชื่อตรอก “โรงไหม” อยู่จนถึงปัจจุบัน) ซึ่งเป็นช่างฝีมือของชาวเวียงจันทน์มาตั้งอยู่ที่นี่  คลองนี้ทะลุไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาที่ท่าช้างวังหน้า  ปัจจุบันก็คือ “สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า”  คลองตรงช่วงนี้ก็ทำเป็นถนนคอนกรีตคลุมคลองไว้อีกที
          เมื่อรถรางวิ่งข้ามสะพานแล้ว  ก็ถึงบริเวณหน้ากรมศิลปากร  ซึ่งสมัยนั้นโรงละครแห่งชาติยังไม่มี  มีแต่ตึกของโรงเรียนช่างศิลป์ (ปัจจุบันนี้รื้อไปเรียบร้อยแล้ว) วิ่งผ่านไปทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง  สมัยนั้นหอประชุมใหญ่ยังไม่ได้สร้างมีแต่กำแพงใหญ่  ที่กำแพงใหญ่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองด้านวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ (วัดสลัก) หรือท่าพระจันทร์
          ในปี พ.ศ. 2483  ฯพณฯ ปรีดี  พนมยงค์  ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง  ในรัฐบาลชุดแรกของ ฯพณฯ จอมพล ป.  พิบูลสงคราม  ได้สร้างภาพยนตร์ขึ้นเรื่องหนึ่งชื่อว่า “พระเจ้าช้างเผือก หรือคิงส์จักรา” พูดเป็นภาษาอังกฤษ นางเอกในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  สมัยสงครามครั้งที่ 2 เธอสวยมาก อดีตเคยเป็นดาวธรรมศาสตร์ เคยเป็นนางงามงานบุปผชาติ ชื่อ “ไพลิน  นิลรังสี” (เดิมชื่อไอรีน  นิลเสน) เคยเป็นนักเรียนเตรียม มธก. รุ่น 3
          ฉากวังของพระเจ้าจักรา...นั้นใช้สถานที่วัดพระแก้ว  ส่วนฉากวังของ  พระเจ้าหงสา นั้นใช้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ  ส่วนฉากรบกันที่มีทหาพม่าปีนกำแพงเมือง ก็ใช้กำแพงของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
          วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นวัดโบราณ เดิมชื่อวัดสลัก ในรัชกาลที่ 1  กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท  โปรดให้สถาปนาใหม่ให้ใหญ๋โตคู่กับ “วัดพระเชตุพนฯ”  แล้วพระราชทานนามว่า “วัดนิพพานาราม”
รถรางผ่านถนนพระอาทิตย์
          มีเรื่องเล่ากันว่า  ครั้งยังเป็น “นายสุดจินดา”  ลงเรือโกลนหนีพม่าลงมาจากกรุงศรีอยุธยา แล้วมาประทับหลบพม่าอยู่ที่วัดแห่งนี้  แล้วทรงอธิษฐานว่าหากรอดไปได้เป็นใหญ่ในภายหน้าจะกลับมาปฏิสังขรณ์วัดนี้ให้ใหญ่โต
          เมื่อรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  จะโปรดให้ประชุมทำสังคายนาพระไตรปิฎก จึงโปรดให้เปลี่ยนนามเป็น “วัดศรีสรรเพชญ์”  ต่อมาโปรดให้ประชุมพระราชาคณะสอบไล่พระปริยัติธรรม  พระภิกษุและสามเณรที่วัดแห่งนี้  แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดมหาธาตุวรวิหาร”
          ในรัชกาลที่ 5  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในการบำเพ็๗พระราชกุศลพระศพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ” ได้พระราชทานนามพระอารามนี้ใหม่เป็น “วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์”
          รถรางวิ่งไปเลี้ยวโค้งตรงท่าพระจันทร์ สมัยก่อนนั้น ตรงด้านตะวันตกของท่าพระจันทร์มี “ป้อมพระจันทร์” ตั้งอยู่  ปัจจุบันได้รื้อไปเรียบร้อยแล้ว น่าเสียดายอนุชนรุ่นหลัง ๆ  อดได้ชม     รถรางวิ่งไปเรื่อย ๆ  ตามถนนมหาราช จนไปถึงท่าช้างวังหลวงหรือท่าพระ
          ท่าช้างวังหลวงหรือท่าพระนี้ มีประวัติเล่ากันไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  รัชกาลที่ 1  โปรดให้สร้าง “วัดสุทัศน์เทพวราราม” ขึ้นไว้ในกำแพงพระนคร ตรงที่เป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯ  แล้วโปรดให้เชิญ “พระศรีศากยมุนี” มาแต่พระวิหารหลวง “วัดมหาธาตุ” เมืองสุโขทัย ตามพงศาวดารกล่าวไว้ว่า
          “ลุจุลศักราช 1170 ปีมะโรง  สัมฤทธิศก  เป็นปีที่ 27 ในรัชกาลที่ 1  ณ วันพฤหัสบดี  เดือน 6 ขึ้น 11 ค่ำ  เชิญพระพุทธรูปองค์ใหญ่  ซึ่งเป็นพระประธานในพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ  ลงมาจากเมืองสุโขทัย  หน้าตัก 3 วา  สมโภชที่หน้าตำหนักแพ 3 วัน
ผ่านท่าช้างวังหลวง
          ครั้น  ณ เดือน 6 ขึ้น 14 ค่ำ  เชิญชักพระขึ้นจากแพทางประตู “ท่าช้าง” ไปทำร่มไว้ข้างถนนเสาชิงช้า ประตูนั้นก็เรียกว่า “ประตูท่าพระ”  มาจนทุกวันนี้
          รถรางวิ่ง “ปูเล้ง ๆ” ไปเรื่อย ๆ  จนถึงท่าราชวรดิษฐ์  ผ่านกองเรือกล (สมัยก่อนอยู่ใกล้ ๆ  กับท่าราชวรดิษฐ์ ปัจจุบันเหมือนจะเป็นสโมสรสำนักพระราชวัง) วิ่งมาอีกหน่อยก็ถึงถนนท้ายวังกับท่าเตียน  สมัยก่อนเป็นเรือเมล์ที่มีชื่อเสียงมาก เช่น “เรือเขียว เรือแดง” เขาเล่าว่าเรือสองสายนี้แข่งกันสะบัดช่อไปเลยหัวเรือยังงี้เชิดไม่ติดน้ำ  บางครั้งมีตีกันเพราะแย่งผู้โดยสาร  รถรางวิ่งผ่านวัดพระเชตุพนวิลมังคลาราม
          วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม นี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  รัชกาลที่ 1  โปรดให้สถาปนาวัดนี้อยู่ถึง 7 ปี เดิมชื่อวัดโพธาราม เก่าชำรุดหักพังมากรวมพระราชทรัพย์ที่สร่างทั้งสิ้นเกือบ 2,800 ชั่ง โปรดให้ปฏิสังขรณ์สร้างพระอุโบสถใหม่มีกำแพงแก้วล้อมรอบพระระเบียงวัดนี้แปลกกว่าวัดอื่น ๆ  คือ มี 2 ชั้น มุมพระระเบียงเป็นจัตุรมุข  มีวิหาร 4 ทิศ ตรงวิหารทิศตะวันตกโปรดให้สร้างพระเจดีย์ใหญ่  โดยชะลอพระพุทธรูปศรีสรรเพชญ์ ซึ่งปรักหักพังมากเพราะพม่าเผา  เกินกำลังที่จะบูรณปฏิสังขรณ์ จากพระวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชญ์กรุงศรีอยุธยาเข้ามาวางบนรากแล้วสร้างมหาเจดีย์ครอบถวายนามว่า “พระเจดีย์ศรีสรรเพชญ์ดาญาณ”  โปรดให้อัญเชิญพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระประธานที่วุดศาลาสี่หน้าธนบุรี มาเป็นพระประธานในพระอุโบสถ บรรจุพระบรมธาตุแล้วถวายนามว่า “พระพุทธเทวปฏิมากร”  ส่วนที่พระวิหาร พระระเบียงก็เชิญพระพุทธรูปหล่อด้วยทองเหลือง  ทองสัมฤทธิ์ที่ชำรุดอยู่ตามหัวเมือง เช่น พิษณุโลก  สวรรคโลก  สุโขทัย  ลพบุรี  อยุธยา ฯลฯ  มาบูรณะซ๋อมแซมแล้วประดิษฐานไว้ที่วัดนี้
ผ่านท่าราชวรดิษฐ์
          ต่อมาถึงรัชกาลที่ 3  พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงปฏิสังขรณ์วัดนี้ครั้งใหญ่ ทรงสร้างเพิ่มเติมอีกหลายอย่าง  ขยายเขตพระอารามออกไปทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือถึงที่ซึ่งเคยเป็นวังกรมหลวงนิรนทรเทวีมาก่อน สร้างวิหารพระนอน และ “พระพุทธไสยาสน์” สร้างกุฎีสงฆ์เป็นตึก
          เรื่องการสร้างวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามนั้น เป็นเรื่องใหญ่และลึกซึ้งในทางพระพุทธศาสนา  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  ทรงสร้างวัดพระเชตุพนฯ กับกรมพระราชวังบวรฯ  ทรงสร้างวัดมหาธาตุฯ นั้น  สร้างในคราวเดียวกัน  วัดสองวัดนี้เป็นวัดใหญ่ที่สุดในพระนคร สร้างแต่แรกสร้างกรุง  ผิดกับวัดอื่น ๆ  เพราะเหตุใดทั้งสองพระองค์จึงทรงสร้างวัดใหญ่เพียงนี้...
          มีเรื่องเล่ากันมาแบบขำขัน  สาเหตุที่เรียกว่า “ท่าเตียน” นั้น  ก็เพราะ “ยักษ์วัดแจ้งมาท้าตีกับยักษ์วัดโพธิ์” (ยักษ์วัดแจ้งสัญชาติไทย  ยักษ์วัดโพธิ์สัญชาติจีน) ยักษ์วัดโพธิ์โมโหมาก ร้องออกไปว่า “ชิชะ...อวดดียังไงมาท้าตีท้าต่อย”  ว่าแล้วก็ยกพวกออกจากวัดโพธิ์ โถมเข้าหายักษ์วัดแจ้ง  ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างไม่ยั้งมือ  ชั่วพริบตาเดียวที่ตรงนั้นก็ราบเลียบโล่งเหมือนอย่างเพลงที่คุณมีศักดิ์  นาครัตน์ ซึ่งแต่งโดยคุณสุรพล  โทณวณิก  เท็จริงอย่งไรไม่ประจักษ์...ที่ยักษ์ทั้งสองวัดตีกันนี้ไม่ทราบตีเอา “ป้อมมหายักษ์” ตรงหน้าวัดโพธิ์หายไปในคราวนั้นหรือเปล่าไม่ทราบ...
เลียบกำแพงพระนคร ช่างใกล้วัดโพธิ์
          รถรางยังวิ่งไปเรื่อย ๆ  จอดรับส่งผู้โดยสารเป็นระยะ ๆ  ที่มีธงแดงตามเสาไฟฟ้า  คนที่นั่งชั้นหนึ่งก็หลับไป  คนที่นั่งชั้นสองก็พลอยหลักตามไปด้วย เรื่องหลงทางเป็นไม่มี ถึงอย่างไรรถรางมันก็จะวิ่งกลับไปทางเก่าอีก
          ตรงหน้าวัดโพธิ์มีสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง คือ “ห้างขายยาตราโพธิ์”  สมัยก่อนมีชื่อเสียงมากที่สุด เด็ก ๆ  สมัยนั้นพอลืมตาอ้าปาก ก็เจอยาตราโพธิ์นี่แหละ
          จากวัดโพธิ์สักครู่ก็ถึงปากคลองตลาด โรงเรียนราชินีล่าง ตรงโรงเรียนราชินีล่างนี้  เขาเล่ากันว่า สมัยก่อนมีป้อมอยู่ป้อมหนึ่งชื่อว่า “ป้อมมหาฤกษ์” ตรงข้ามกับ “ป้อมวิชัยประสิทธิ์” ที่ปากคลองบางหลวง  ส่วนปากคลองตลาดนี้ เขาเล่าว่า สมัยก่อนมีแม่ค้าแม่ขายเอาเรือบรรทุกปลามาขายตรงปากคลองจนกลายเป็นตลาดปลาใหญ่ที่สุดของกรุงบางกอก  ฉะนั้นตลาดบริเวณนี้เขาจึงเรียกว่า “ปากคลองตลาด”  มาจนถึงทุกวันนี้
          รถรางวิ่งข้าม “สะพานเจริญรัช (31)”  อยู่ตรงหน้าสถานีตำรวจพระราชวังกับโรงเรียนราชินีล่าง  สะพานนี้เป็นสะพานแรกที่ข้ามคลองหลอกยังอยู่มั่นขวัญยืนไม่ได้ถูกรื้อไปไหน ยงมีรถเข็นของสารพัดอย่างเข็นข้ามไปข้ามมาขนสินค้าที่ปากคลองตลาด
          ที่ตรงนี้แหละ...พอรถรางวิ่งข้ามสะพาน ตอนนี้รถรางก็จะวิ่งกึ่งกลางถนนผ่านหน้าโรงหนัง “เอ็มไพร์ (เพชรเอ็มไพร์)” ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มี จนถึง “สะพานพุทธฯ”   จึงขอเล่าประวัติการสร้างสะพานพุทธฯ พอคร่าว ๆ  ให้ฟัง
ผ่านวัดโพธิ์ ท่าเตียน สังเกตธงเขียวธงเดียว สำหรับหยุดหลีก
          วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2472  พลเอก กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน  เปิดประมูลสร้างสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์  มีบริษัทเข้าประมูลถึง 6 บริษัทด้วย  การประมูลครั้งนั้นทำกันที่ประเทศอังกฤษต่อหน้าคณะกรรมการประกอบด้วย วิศวกรไทย 3 ท่านและวิศวกรต่างประเทศ 4 ท่าน แล้วโทรเลขแจ้งผลของการประมูลมาทูลเกล้า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7
          วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2472  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เอาเรื่องการประมูลสร้างสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์เข้าที่ประชุมคณะอภิรัฐมนตรี ซึ่งมีความเห็นว่าควรตกลงให้ “บริษัทดอร์แมนลอง” เป็นผู้ทำ เพราะราคาต่ำที่สุดและทำได้เร็วที่สุด  ฐานะบริษัทก็ดี ทัดเทียมกับบริษัทอื่น ๆ  และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โทรเลขไปทูลให้ พลเอก  กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน  ทรงทราบถึงมติของคณะอภิรัฐมนตรีอีกด้วย
          วันที่ 10 มกราคม  พ.ศ. 2472 (หน้าจะเป็น 2473 ?) บริษัทดอร์แมนลอง เริ่มก่อสร้างสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์  พลเอกกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินทรงคุมงานก่อสร้างอย่างใกล้ชิดด้วยพระองค์เอง
          วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2474  บริษัทดอร์แมนลอง สร้างสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ เสร็จก่อนกำหนดถึง 5 เดือนเต็ม มอบให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงคมนาคมดูแลรักษา
          วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2475  มีพิธีฉลองพระนครครบ 150 ปี ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7 พระราชทานธงไชยเฉลิมพลแก่กองทหารต่าง ๆ
          วันที่ 6 เมษายน  พ.ศ. 2475  พระราชพิธีเปิดสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์  เป็นพระราชพิธีที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 7  เสด็จด้วยขบวนแห่พยุหยาตราที่ใหญ่โตมาก
          เปิดโรงภาพยนตร์ “ศาลาเฉลิมกรุง”  ซึ่งอำนวยการก่อสร้างโดย พลเอก กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน  เป็นโรงภาพยนตร์แห่งแรกของประเทศไทยที่ใช้เครื่องปรับอากาศได้แก่ เครื่องปรับอากาศแคเรียร์  ขนาด 150 ตัน
ผ่านปากคลองตลาด หน้าโรงหนังเอ็มไพร์
          รถรางวิ่งผ่านย่านสะพานพุทธฯ กำลังจะเลี้ยวซ้ายเข้าถนนมหาไชย (ตรงเชิงสะพานสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ขนานคู่กับสะพานพุทธฯ) ตรงหัวเลี้ยวนี้แหละ  สมัยก่อนมีน้ำตก  เด็ก ๆ  สมัยนั้นชอบพูดกันว่า จะพาไปเที่ยวน้ำตกโรงฟ้า  เหมือนจะไม่มีน้ำตกก็ตอนโรงฟ้าถูกลูกระเบิดเมื่อตนสงครามโลกครั้งที่ 2
          รถรางวิ่งไปเรื่อย ๆ  จนถึงสะพานหัน  ทางซ้ายมือเป็นถนนพาหุรัด (ถนนบ้านญวน)  ถนนนี้เริ่มต้นจากพาหุรัดไปจึงสี่แยกบ้านหม้อมีเรื่องเล่ากันว่า “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 5”  ทรงประสงค์จะให้เป็นอนุสรณ์แด่ “สมเด็จเจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัยประไพพรรณพิจิตรนริศราชกุมารี”  ซึ่งเป็นพระธิดาองค์ที่ 1  ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราพระบรมราชินีนาถ  จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อถนนบ้านญวนมาเป็นถนนพาหุรัด
          ด้านสะพาหันนั้น  เพียงแต่ชื่อก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่า ต้องหันได้และก็หันได้จริง ๆ  สมชื่อ   สะพานหันนี้ สร้างมาตั้งแต่สมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  รัชกาลที่ 1  ตัวสะพานหันได้หันไปทางด้านกำแพงเมืองหรือกำแพงพระนคร
          สะพานหันนี้ในชั้นเดิมได้สร้างด้วยไม้หันกลับไปกลับมาได้  ครั้นต่อมาสะพานชำรุดหักพัง “พระราชเศรษฐี”  เจ้าเมืองพุทไธมาส จึงได้ซ๋อมแซมขึ้นใหม่  ต่อมาได้ชำรุดอีกไม่มีผู้ใดจะซ่อมแซม  ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  เจ้าพนักงานกรมพระนครบาลในรัชกาลที่ 2  จึงได้สร้างสะพานขึ้นใหม่ในที่เดียวกัน  แต่คราวนี้หันไม่ได้เป็นสะพานติดอยู่กับพื้นดิน  แต่คงเรียกว่า “สะพานหัน” ตามเดิม  ปัจจุบัน สะพานหัน ได้เปลี่ยนเป็นสะพานคอนกรีตมีพื้นเสมอพื้นดิน แต่มีบริเวณกว้างกว่าเดิม
ผ่านวังบูรพาภิรมย์ เห็นประตูวังอยู่ด้านซ้าย
ป้อมที่เห็นเป็นป้อมมหาไชย ซึ่งถูกรื้อไปแล้ว
          พอรถรางวิ่งเลยสะพานหันไปหน่อย ผ่านเชิงสะพานภาณุพันธุ์ ทางขวามือผ่านวังบูรพาภิรมย์ของ เจ้าฟ้าภารูรังสีสว่างวงศ์  กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช   ซึ่งต่อมา ก็ถูกรื้อทำเป็นศูนย์การค้าขายที่ทันสมัย  โดย เซียวก๊ก  หรือ บัณฑูร  องค์วิศิษฐ์  เป็นผู้ประมูลได้  ผลการประมูลทำให้เซียวก๊กรวยมาก  เนื่องจากพอรื้อตึกที่เป็นวังได้ซุงไม้สักที่เป็นฐานรองรับหลายพันต้น  คิดเป็นเงินตอนนั้นหลายร้อยล้านบาท  สามารถนำมาสร้างศูนย์การค้าและโรงหนังอีก 3 โรง คือ คิงส์  ควีนส์ และแกรนด์ (ซึ่งปัจจุบันก็ทำเป็นศูนย์การค้าไปหมดแล้ว)  ทางซ้ายมือ รถรางก็กลับวิ่งตรงกึ่งกลางถนนอีก ผ่าน “ป้อมมหาไชย”  ผ่านสะพานดำรงสถิต (สะพานเหล็กบน) สะพานนี้พระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธรทรงสร้าง  ทางซ้ายมือตรงหัวมุมตึกเป็นที่ตั้งของห้างขายยา “หมอเล็ง  ศรีจันทร์”  เลยสี่แยกก็เป็นโรงหวยยี่โกฮง ข้างในยังมีโรงหนังชะวาอีกโรงหนึ่ง ซึ่งโรงหนังนี้ครูเวสสุนทรจามรเคยมาเป่าแตรหน้าโรงได้คืนละบาทหนึ่ง
          เหนือสี่แยกสามยอดขึ้นมานิด สมัยก่อนมีป้อมอยู่ป้อมหนึ่งชื่อว่า “ป้อมเสือทยาน” และใกล้ ๆ  ตรงนั้น เป็นคลองคูเมืองรอบนอกคือตั้งแต่วัดราชบพิธ  วัดสุทัศน์  ถนนอุณากรรณ  ข้างกองลหุโทษ (ปัจจุบันคือสวนรมณีนาถ และพิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์) ตรงหน้ากองลหุโทษ มีป้อมอยู่ป้อมหนึ่ง ชื่อ “ป้อมหมูทลวง”  ปัจจุบันรื้อไปแล้วและดูเหมือนจะสร้างสะพานที่ตรงนั้น ชื่อว่า “สะพานระพีพัฒนภาค (2505)” ที่จะไปสี่แยกวรจักร
          รถรางไปอีกสักครู่ก็ถึง “ประตูผี” สำราญราษฎร์ ตรงประตูผีมีสิ่งสำคัญน่าจะนำมาเล่าไว้อย่างเช่น คำว่า ประตูผี  เขาเล่าว่า เดิมทีเดียวที่ตรงนี้มีประตูสำหรับนำศพคนที่เสียชีวิตในกำแพงเมืองชั้นใน จะต้องรีบนำศพออกทางประตูนี้  เพื่อเอาไปเผาที่วัดสระเกศ (ภูเขาทอง) มีอยู่ครั้งหนึ่ง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 3  ห่า (อหิวาตกโรค) ลงมากินเมือง คนตายกันเป็นเบือ  ขนศพออกจากกำแพงเมืองชั้นในแทบไม่ทัน ขนศพออกมาแล้ว นำไปกองที่วัดสระเกศ  เผากันแทบไม่ทัน เพราะว่าศพมันมากเหลือเกิน  ต้องกองทิ้ง ๆ  ไว้เน่าเปื่อยไปตามยถากรรม  เลยกลายเป็นอาหารอันโอชะของพวก “อีแร้ง” จนได้ชื่อว่า “อีแร้งวัดสระเกศ”  ส่วนคำว่า “ไอเปรตวัดสุทัศน์” นั้นไม่รู้ว่ามากจากไหน
ผ่าสถนนมหาไชย
          ตรงสี่แยกประตูผี (สำราญราษฎร์) ขวามือเป็นสะพานสมมตอมรมาร์ค (แปลว่า ถนนของพระราชา สมมต = สมมุติ  อมร = เทวดา  มาร์ค = หนทาง  มาจากภาษาสันสกฤตว่า มารฺค สมมุติเทวดา ก็คือ พระราชา) ข้ามไปทางสะพานดำแม้นศรีได้  ส่วนข้างสะพานนั้น สมัยก่อนเป็นที่ตั้งของโรงพักสำราษฎร์ (ปัจจุบันรื้อไปหมดแล้ว  กลายเป็นแฟลตที่พักตำรวจ)  ทีนี้ไปตรงหัวมุมตึกถนนบำรุงเมือง (ถนนเสาชิงช้า)  ใกล้วัดเทพธิดารามเป็นโรงรับจำนำแห่งแรกของกรุงสยามยี่ห้อ “ย่องเซี้ยง” (ปัจจุบันคือโรงรับจำนำสำราญราษฎร์)
          การรับจำนำของของคนไทยนั้น มีมานมนานตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว  แต่ทว่าเดิมนั้นยังไม่มีใครติดตั้งโรงรับจำนำโดยตรง  มีแต่ว่ารับจำนำกันเงียบ ๆ  ทั้งสิ้นจนเมื่อ ร.ศ. 85 หรือ พ.ศ. 2409 ในปลายสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  จึงได้มีคนคิดตั้งโรงรับจำนำขึ้นเป็นอย่างกิจจะลักษณะ  ผู้ที่คิดทำโรงรับจำนำคนนั้น คือ “เจ๊กฮง”  ซึ่งปัจจุบันนี้บรรดาลูกหลายเหลนโหลนก็ยังทำกิจการโรงรับจำนำอยู่  ณ ที่ตั้งเริ่มแรก คือ ที่ย่านประตูผี  ถนนบำรุงเมือง มีชื่อร้านว่า “โรงรับจำนำย่องเซี้ยง”
          รถรางวิ่งผ่านวัดเทพธิดารามกับวัดราชนัดดาราม  ซึ่งขนานคู่ไปกับกำแพงเมืองที่ยังหลงเหลืออยู่ไปจนถึง “ป้อมมหากาฬ”
          วัดเทพธิดาราม  พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 3  ทรงสร้างพระราชทานเป็นพระเกียรติยศแก่ พระเจ้าลูกเธอ  กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพฯ และเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์
รางรถรางผ่านป้อมมหากาฬ ตรงสี่แยกสะพานผ่าฟ้าลีลาศ
          วัดราชนัดดาราม  พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 3  ทรงสร้างพระราชทานเป็นพระเกียรติยศแก่ พระเจ้าหลานเธอ  พระองค์เจ้าหญิงโสมนัสวดี    ที่ข้างวัดราชนัดดารามนี้ มีคลองเล็ก ๆ  อยู่คลองหนึ่ง ซึ่งเริ่มตั้งแต่คลองหลอดคูเมืองชั้นในมาทางวัดบูรณศิริมาตยาราม  ผ่านด้านหลังโรงแรมรอยัล  ผ่านวัดมหรรณพาราม (หลังที่ว่าการกรุงเทพมหานคร) ผ่านวัดราชนัดดาราม  ทะลุกำแพงเมืองชั้นนอกออกคลองโอ่งอ่างหรือคลองบางลำพู เรียกว่า “คลองหลอดเดิม”  และที่วัดราชนัดดารามมีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่คนไทยรู้จักกันดี  เมื่อก่อนนี้ไม่ค่อยจะมีความหมายเท่าไรนัก เพราะว่ามีโรงหนักเฉลิมไทยบังอยู่  แต่พอรื้อโรงหนังเฉลิมไทยไปเท่านั้น  มองเห็นสิ่งนี้เป็นที่สง่างามมาก  สิ่งนั้นคือ “โลหะปราสาท”
          โลหะปราสาท วัดราชนัดดาราม  พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 3  โปรดให้สร้างแทนเจดีย์  นับว่าเป็นวัตถุสถานที่แปลกอีกอย่างหนึ่ง  ตามอรรถกถาธรรมบท (แบบเรียนของพระภิกษุ-สามเณร  ชั้นประโยค 1 – 2 และ เปรียญธรรม 3 ประโยค) ได้กล่าวว่า นางวิสาขามหาอุบาสิกาได้คิดสร้างขึ้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าในวัดบุปผาราม  มีถึง 7 ชั้นด้วย  ในวัดราชนัดดาราม  สร้างตามแบบของประเทศศรีลังกา ซึ่งปรากฏในหนังสือมหาวงศ์พงศาวดารลังกาว่า พระเจ้าทุฎฐคามณีอภัย ทรงสร้างราว พ.ศ. 382  แต่โลหะปราสาทที่ลังกาก็ยังเหลือแต่เสาเสียเป็นอันมาก ที่สร้างในกรุงเทพฯ นั้น คิดแบบต่อเติมเอาตามความคิดของคนไทย
          เมื่อรถรางวิ่งโขยกขึ้นโขยกลงผ่านป้อมมหากาฬ ผ่านสะพานผ่านฟ้าลีลาศ  สะพานนี้ถือว่าเป็นสะพานประวัติศาสตร์  จากเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม  พ.ศ. 2535  ได้มีการเดินขบวนปะทะกับตำรวจและทหารของรัฐบาลอย่างนองเลือด  ด้วยพระบารมีปกเกล้า  จึงนำความสงบมาสู่ประเทศไทยอย่างดุษณีภาพในครั้งนี้ได้ชื่อว่า “พฤษภาทมิฬ”  แต่ก็ยังมีอีก  เมื่อปี พ.ศ. 2553  ที่คนเสื้อแดง ที่คลั่งไคล้  พ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร  ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  ซึ่งคนเสื้อแดงถือว่า  เป็นรัฐบาลของทหาร  จนทุกวันนี้ (พ.ศ. 2555  ก็ยังอึมครึมอยู่  แม้พรรคเพื่อไทย  ซึ่งเป็นพรรคของ  พ.ต.ท. ทักษิณฯ  จะชนะการเลือกตั้ง)
          รถรางวิ่งผ่านป้อมมหากาฬ  ถนนราชดำเนินมาถึงหน้าธนาคารกรุงเทพ  (สมัยนั้นยังไม่ได้สร้าง) ตรงกับตึกสูงใหญ่ถนนราชดำเนินอยู่ตรงหัวมุมเมื่อแรกสร้างใหม่ ๆ  นั้น เป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุด  และมีชื่อเสียงมาก ๆ  ชื่อว่า “ห้างไทยนิยม” ผ่านฟ้า  เมื่อปี พ.ศ. 2483  รัฐบาลได้มาจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญที่บริเวณถนนราชดำเนินที่ตึกไทยนิยมนี้มีงานลีลาศชั้นบนสุดมีวงดนตรีถึง 2 วง คือ วงดนตรีสุนทราภรณ์ และ วงดนตรี ดุริยะโยธิน
          รถรางวิ่งเลาะกำแพงเมืองรอบในไปเรื่อย ๆ  จนถึงสะพานวันชาติ (ตอนนั้นสะพานวันชาติยังไม่ได้สร้าง) จนถึงวัดรังสีสุทธาวาสแล้วก็เลยไปวัดบวรนิเวศวิหารซึ่งอยู่ติดกัน  ต่อมาทั้งสองวัดได้รวมเข้าเป็นอาณาเขตเดียวกันเมื่อปี พ.ศ. 2485 
          วัดรังษีสุทธาวาส นั้น เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ทรงสร้าง  ส่วนวัดบวรนิเวศวิหาร  เป็นวัดที่ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิเสพย์  ทรงสร้างขึ้นถวายเป็นพระอารามหลวงในรัชกาลที่ 3  แล้วอัญเชิญพระพุทธชินสีห์ลงมาจากเมืองพิษณุโลกมาประดิษฐ์ไว้  ณ วัดนี้  วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง  เจ้าหลายพระองค์เมื่อทรงผนวชจะเสด็จมาประทับที่นี่  แม้แต่ในหลวงล้นเกล้ารัชกาลปัจจุบัน  หน้าวัดอีกฟากหนึ่งเป็นกำแพงเมือง เหนือวัดเล็กน้อยมีป้อมอยู่ป้อมหนึ่งชื่อว่า “ป้อมยุคันธร”
          รถรางวิ่งอีกนิดเดียวก็กลับไปเข้าหลีกที่เดิมหน้าตลาดทุเรียนตรงบางลำพู เป็นอันจบการเดินสายของรถราง “สายรอบเมือง”...ฯ
ภาพแสดงตำแหน่งป้อมกำแพงพระนครในอดีต
ซึ่งเป็นเส้นทางรถรางสายรอบเมือง
ฝากวิดีทัศน์ รถรางสายรอบเมืองวันสุดท้าย
ก่อนเลิกเดิน เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2511 ไว้ดูครับ..
โหลดจาก youtube